วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดเชียงราย นำโดย นายนเรศ รัศมีจันทร์ ผู้แทนกลุ่มฯ รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือต่อนาย ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อขอให้ส่งเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยด่วน
นายนเรศและกลุ่มเกษตรกรระบุว่า ปัจจุบันผู้เลี้ยงโคเนื้อในหลายพื้นที่ทั่วประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) ระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้า เช่น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ทำให้มีการนำเข้าเนื้อโคและเครื่องในในราคาต่ำ ส่งผลให้ราคาโคเนื้อภายในประเทศตกต่ำ เกษตรกรประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จนหลายรายต้องเลิกอาชีพ
กลุ่มเกษตรกรจึงเสนอให้รัฐบาลปฏิรูประบบการผลิตและตลาดโคเนื้อของไทย ภายใต้โมเดลชื่อว่า “Thai Beef Model” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการเกษตร โดยมีข้อเสนอหลัก ได้แก่
จัดตั้งองค์กรกลางเพื่อกำกับ ดูแล และพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อไทย พัฒนาระบบฐานข้อมูลโคเนื้อแห่งชาติ ยกระดับฟาร์มและโรงเชือดให้ได้มาตรฐานสากล สนับสนุนการผลิตเนื้อคุณภาพ เสริมความเข้มแข็งของระบบตลาด ทั้งในประเทศและการส่งออก
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้รับเรื่องไว้ และให้คำมั่นว่าจะส่งต่อถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกำชับให้มีการติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด สร้างความพึงพอใจให้กับกลุ่มเกษตรกรก่อนแยกย้ายกันกลับ
นายนเรศกล่าวว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรเลี้ยงโคเนื้อกว่า 1.4 ล้านครัวเรือน ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากเนื้อโคนำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งมีคุณภาพดีและหลากหลาย จนสามารถตีตลาดในไทยได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันต้นทุนการเลี้ยงอยู่ที่กิโลกรัมละ 80-90 บาท แต่พ่อค้ากลับรับซื้อเพียงกิโลกรัมละ 70 บาท เท่านั้น
เขายังกล่าวว่า สิ่งสำคัญยิ่งกว่าราคาคือ “คุณภาพ” โดยเนื้อจากออสเตรเลียมีการจัดการที่ดี ทำให้โคเนื้อสามารถเพิ่มน้ำหนักได้ถึงวันละ 1.8-2 กิโลกรัม ขณะที่โคไทยโดยเฉลี่ยเพิ่มน้ำหนักได้เพียงวันละ 1 กิโลกรัม ก็ถือว่าดีมากแล้ว
นอกจากนี้ เกษตรกรไทยยังต้องได้รับการพัฒนาให้สามารถผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาดได้อย่างเพียงพอ มีความหลากหลาย และมีบรรจุภัณฑ์ทันสมัย ซึ่งจะสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการผลักดัน Thai Beef Model อย่างต่อเนื่องและจริงจัง.
วันที่ 12 พฤษภา…